วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Asperger's Disorder โรคแอสเพอร์เกอร์

Asperger's Disorder


         ก่อนอื่นคงต้องขออภัุยที่ห่างหายไปจากการเขียนบล็อกเป็นระยะเวลาหนึ่ง วันนี้มีโอกาสว่างๆ และมีกระเเสสังคม เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา เกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ในที่นี้ผู้เขียนขอไม่เอ๋ยนาม และไม่ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำเสนอใดๆ และขอนำเสนอเกี่ยวกับการให้ความรู้ และ การทำให้ผู้อ่านได้รู้จัก และเข้าใจ ถึง กลุ่มบุคคลซึ่งถือได้ว่ามีความบกพร่องทางพฤติกรรม และพัฒนาการ เพื่อเป็นเเนวทางให้เราได้เข้าใจบุคคลเหล่านี้มากขึ้น และจะได้เข้าใจว่าเขาก็มีคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันกับเรา เราเองก็ควรให้เกียรติ และรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย เสมือเหมือนเขาก็คือเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ในสังคมนี้เฉกเช่นเรา ผู้เขียนขออนุญาติที่จะไม่ วินิจฉัย (diagnose) หรือขออนุญาติ ที่จะไม่กล่าวถึงบุคคลที่สามแต่ประการใด 

      แต่ขออธิบายในเชิงการให้ความรู้ และอธิบายเกี่ยวกับโรคดังกล่าว เท่านั้น หากจะกล่าวถึง แอสเพอร์เกอร์ (Asperger's Disorder) หลายคนคงยังไม่คุ้นชินกับคำนี้ซักเท่าไหร่ หากเทียบกับ ออทิสซึม หรือ ออทิสติก (Autistic Disorder) แท้จริงแล้วแอสเพอร์เกอร์ถูกจัดรวมอยู่ในกลุ่มเดียวกับออทิสติก หรือกลุ่มโรคที่มีความผิดปกติของพัฒนาการแบบรอบด้าน (Pervasive Developmental Disorder -PDDs) :ซึ่งตามเกณฑ์วินิฉัยของ DSM-TV-TR กล่าวไว้ว่าประกอบไปด้วยโรคต่างๆดังต่อไปนี้

- Autistic Disorder (Autism)
- Rett's Disorder
- Childhood Disintegrative Disorder 
- Asperger's Disorder
- Pervasive Development Disorser not otherwise specified

ในที่นี้ผู้เขียนขอกล่าวถึง Asperger's Disorder

      แอสเพอร์เกอร์ ถูกรายงานเมื่อ ค.ศ. 1940 โดยนายแพทย์ ฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ชาวออสเตรีย ที่พบว่าคนไข้ของเขาซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชายมีความเฉลียวฉลาด มีระดับสติปัญญาอยุ่ในเกณฑ์ปกติ แต่กลับมีปัญหาในเรื่องของการเข้าสังคม มีพฤติกรรมหมกหมุ่น ชอบทำอะไรซ้ำซาก จำเจ ทักษะในการเข้าสังคมไม่ค่อยดีนัก แต่สามารถสนทนาสื่อสารกับผู้อื่นได้

     ในปี พ.ศ. 2548 สถาบันวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ กล่าวว่า ไอน์สไตน์ และ เซอร์ไฮเซค นิวตัน 2 นักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดัง อาจเข้าข่ายในกลุ่มอาการดังกล่าวด้วยเช่นกัน เพราะไม่ชอบการเข้าสังคม  การปฏิสัมพันธืกับผู้อื่นค่อนข้างต่ำ อีกทั้งพูดกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง 

     ปัจจุบันในเชิงระบาดวิทยา พบผู้ป่วยแอสเพอร์เกอร์ ร่วมกับ PDDs ในอัตรา 1:1000 นับได้ว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น

    ในด้านสาเหตุของการเกิดโรคนั้น ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ในทางการแพทย์มึผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า น่าจะเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ทั้งในด้านการทำงานที่ผิดปกติของสมองและระบบประสาท รวมทั้งพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม  มีผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า น่าจะเกิดจากความบกพร่องของสารพันธุกรรม ซึ่งความบกพร่องทางพันธุกรรมนี้ก็ยังบอกไม่ได้อีกเหมือนกันว่า เกิดจากการถ่ายทอดจากรุ่นสู่ร่น ที่ค่อยๆสะสมความผิดปกติแล้วจึงมาแสดงในรุ่นใดรุ่นหนึ่ง หรือเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่อาจยืนยันผลได้แน่ชัด ต้องใช้การศึกษาวิจัยอีกระยะหนึ่ง แต่ค่อนข้างให้น้ำหนักไปว่า ไม่น่าจะเกิดจากการเลี้ยงดู

     ทั้งนี้จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ระบุว่า เด็กที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ จะเริ่มแสดงอาการออกมาให้เห็นตั้งแต่ อายุ 3 ขวบ และจะสามารถสังเกตให้เห็นได้เด่นชัดในช่วงวัย ระหว่างอายุ 5-9 ปี โรคนี้จะไม่แสดงออกทางรูปร่างหน้าตา แต่จะแสดงออกมาในรูปของพฤติกรรมที่มีความบกพร่อง 3 ด้าน คือ

     1. ด้านภาษา 
         
         - เด็กจะสามารถใช้ภาษาสื่อสารกับคนปกติได้เฉกเช่นเด็กปกติ แต่จะมีปัญหาบางในเรื่องที่เข้าใจในเรื่องที่พูด โดยเฉพาะคำพูดในเชิงเปรียบเปรย กำกวม มุขตลก คำประชดประชัน เสียดสี เด็กจะไม่ค่อยรู้สึกยินดียินร้ายกำคำเหล่านั้น เพราะเขาอาจไม่เข้าใจ ก็เป็นได้
     
        - จะชอบพูกเรื่องตัวเอง มากกว่าการพูดเรื่องผู้อื่น พูดในเรื่องนั้น ซ้ำๆ บ่อยๆ และใช้คำพูดที่ค่อนช้างเหมือนเดิม 
     
       - ไม่รู้จักการทักทาย จะพูดอะไรค่อนข้างโพล่งผาง พูดโดยไม่มีการเกริ่นนำ ไม่มีที่มาที่ไป

       - มักมีปัญหาในทักษะด้านการเขียน การอ่าน และ ทักษะทางคณิศาสตร์ 

2. ด้านสังคม 

     - ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว ไม่สนใจคนรอบข้าง

     - เข้ากับผู้อื่นไม่ค่อยได้

     -  มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับคนอื่นอย่างไม่เหมาะสมกับวัย ไม่รู้จักกาละเทศะ มารยาททางสังคมน้อย

     - เมื่อพูดกับผู้อื่นจะไม่ค่อยสบตา ไม่มองหน้า

    - ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกอยากร่วมสนุก ไม่ยินดียินร้ายกับการเข้าร่วมงานกับผู้อื่น 

   - ไม่มีอารมณ์ หรือการตอบสนองเชิงสัมพันธภาพกับผู้อื่น

   - ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เฉยชา และบางรายอาจมีพฤติกรรมสุดโต่ง หรือบางรายอาจมีความอ่อนไหวง่าย

3. ด้านพฤติกรรม

   - ชอบทำอะไรซ้ำๆ หมกมุ่น สนใจเฉพาะเรื่องที่ตนสนใจ โดยเฉพาะเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน อย่างเข่น แผนที่โลก วงจรไฟฟ้า ยี่ห้อรถ ไดโนเสาร์ ธงชาติประทศต่างๆ ดนตรีคลาสิก เป็นต้น ซึ่งถ้าเขาสนใจในเรื่องนั้นแล้ว จะสนใจอย่างเอาจริงเอาจัง และค่อนข้างรู้ลึกรู้จริง

  - เปลี่ยนแปลงความสนใจได้ง่าย ในบางรายมีความไวต่อสิ่งเร้าภายนอกค่อนข้างสูง สมาธิสั้น

 - ท่วงท่าในการเดิน งุ่มง่าม ไม่คล่องตัว 

-  อาจมีการพูดหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ท่านข้าวร้านนี้แล้วไม่อร่อย เมือเด็กที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ดังกล่าวเดินผ่านร้านนี้ ก็จะพูดออกมาโดยไม่สนใจ พูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม  ว่า "ข้าวร้านนี้ไม่อร่อย" เป็นต้น

    อย่างไรก็ดี เด็กที่มีภาวะของแอสเพอร์เกอร์ จะมีระดับสติปัญญาดี มีความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองในเรื่องชีวิตประจำวันได้ในระดับที่น่าพอใจ เพียงแต่บางรายอาจมีสมาธิสั้น แต่โดยรวมในเรื่องสติปัญญาปกติ และค่อนข้างดีกว่าปกติในบางรายด้วยซ้ำ

ส่วนความแตกต่างระหว่างแอสเพอร์เกอร์ และ ออทิสติก

แม้ว่าแอสเพอร์เกอร์ และออทิสติกจะเป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันแต่ก็มีข้อเหมือน และแตกต่างที่พอจะสรุปให้เห็นได้ดังนี้ 


  จากข้อแตกต่างข้างต้นดังตาราง กล่าวได้ว่า ในด้านภาษาเด็ก 2 กลุ่มจะมีความเเตกต่างกัน ในเรื่องการสื่อสาร แอสเพอร์เกอร์สามารถสื่อสารได้ค่อนข้างดีกว่าเด็กออทิสติก อีกทั้งในเรื่องเรื่องของสติปัญญาเด็กแอสเพอร์เกอร์จะมีสติปัญญาในเกณฑ์ปกติ หรือดีกว่าด้วยซ้ำหากเทียบกับออทิสติกที่อาจระดับสติปัญญาต่ำกว่า 

    การประเมิน และคัดกรองโรค 

    แม้จะกล่าวได้ว่าแอสเพอร์เกอร์เป็นโรคที่เป็นมาแต่กำเนิดก็ตาม แต่ในช่วงเด็กเล็กจะค่อนข้างที่จะประเมินได้ยาก อีกทั้งเป็นเรื่องยากที่พ่อแม่จะสังเกตเห็นความแตกต่างหากถ้าไม่คุ้นชิน หรือพบข้อแตกต่างที่ชัดเจน เพราะในช่วงเด็กเล็กๆ ก็ไม่มีสิ่งบ่งชี้ใดๆ เพราะแลเหมือนว่าเด็กปกติทั่วไป อาจมีเพียงข้อสงสัยบางประการที่อาจสังเกตได้เช่น เด็กไม่ค่อยอยากให้อุ้ม เด็กไม่ค่อยตอบสนอง ไม่ชอบสบตา ไม่ยิ้ม หรือแสดงทีท่าดีใจเวลามีคนมาเล่นด้วย บางครั้งพ่อแม่อาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กบางคนที่อาจมีความแตกต่างจากเด็กอื่นในวัยเดียวกัน เว้นแต่จะเห็นความแตกต่าง หรือมองเห็นปัญหาอย่างชัดเจน และตั้งข้อสงสัยในความผิดปกตินั้นๆ จึงพามาพบแพทย์ 
    แท้จริงแล้วเมื่อพ่อแม่พบเห็นความผิดปกติในด้านพฤติกรรม หรือมีข้อสงสัยในความผิดปกติของพัฒนาการ การนำเด็กมาขอคำปรึกษาจากแพทย์นั้น น่าจะเป็นท่าออกที่ดี เพราะแท้จริงแล้วเราสามารถพอจะคัดกรอง (screening) หรือ ให้การวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเเรกเริ่ม (early identification) ตั้งแต่ที่เราเริ่มสงสัยได้ 
    โดยเเพทย์จะใช้วิธีการในการพิจารณาประวัติในทุกด้าน ตั้งแต่เด็กยังเล็กๆ และสังเกตพฤติกกรรมบางอย่างประกอบกัน เพื่อพิจารณาว่าเข้าเกณฑ์ของแอสเพอร์เกอร์หรือไม่ประการใด เพราะหากใช่ก็จะได้รับการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด พ่อแม่หลายคนกลัวการจะต้องรับรู้ว่าลูกเป็นอะไร จึงทำให้สูญเสียโอกาสในการให้การช่วยเหลือ 
    ในกระบวนการประเมินเบื้องต้นนั้น เเพทย์อาจใช้วิธีการตรวจเพิ่มเติม โดยอาจไปรวมไปถึงการประเมินร่วมกับทีมสหวิชาชีพ อาทิ นักจิตวิทยาพัฒนาการ นักกิจกรรมบำบัด นักจิตวิทยาคลินิก หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยหากพบความผิดปกติก็อาจประเมินให้เข้ารับการช่วยเหลือ ในด้านการฝึกสมาธิ การฝึกทักษะทางสังคม ฝึกการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหย่ จากนักกิจกรรมบำบัด หรือการปรับพฤติกรรม หรือรับการกระตุ้นพัฒนาการ จากนักจิตวิทยา เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเด็ก
      
     

    หลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคแอสเพอร์เกอร์ 
  
    ในการวินิจฉัยโรแอสเพอร์เกอร์จะอาศัยลักษณะทางคลินิกเป็นหลัก โดยใช้หลักเกณฑ์การตรวจวินิจฉัยตามเกณฑ์ของสมาคมจิตแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (The Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorder,4th edition, DSM-IV 1994) โดยมีหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคแอสเพอร์เกอร์ ไว้ดังนี้

          A. มีคุณลักษณะในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ผิดปกติ โดยแสดงออกอย่างน้อย 2 ข้อต่อไปนี้


             1. บกพร่องอย่างชัดเจนในการใช้ท่าทางหลายอย่าง (เช่น การสบตา การแสดงสีหน้า กิริยา หรือท่าทางประกอบการเข้าสังคม)

             2. ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนในระดับที่เหมาะสมกับอายุได้

             3. ไม่แสดงความอยากเข้าร่วมสนุก ร่วมทำสิ่งที่สนใจ หรือร่วมงานให้เกิดความสำเร็จกับคนอื่น ๆ (เช่น ไม่แสดงออก ไม่เสนอความเห็น หรือไม่ชี้ว่าตนสนใจอะไร)

             4. ไม่มีอารมณ์ หรือสัมพันธภาพตอบสนองกับสังคม

          B. มีพฤติกรรม ความสนใจ หรือกิจกรรมที่จำกัด ซ้ำ ๆ เป็นแบบแผน โดยแสดงออกอย่างน้อย 1 ข้อ ต่อไปนี้

             1. หมกมุ่นกับพฤติกรรมซ้ำ ๆ (Stereotyped) ตั้งแต่ 1 อย่างขึ้นไป และความสนใจในสิ่งต่าง ๆ มีจำกัด ซึ่งเป็นภาวะที่ผิดปกติทั้งในแง่ของความรุนแรงหรือสิ่งที่สนใจ

             2. ติดกับกิจวัตร หรือย้ำทำกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีประโยชน์โดยไม่ยืดหยุ่น

             3. ทำกิริยาซ้ำ ๆ (Mannerism) (เช่น เล่นสะบัดมือ หมุน โยกตัว)

             4. สนใจหมกมุ่นกับเพียงบางส่วนของวัตถุ

          C. ความผิดปกตินี้ก่อให้กิจกรรมด้านสังคม การงาน หรือด้านอื่น ๆ ที่สำคัญ บกพร่องอย่างมีความสำคัญทางการแพทย์          
         D. ไม่พบพัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้า อย่างมีความสำคัญทางการแพทย์          
         E. ไม่พบพัฒนาการทางความคิดที่ช้าอย่างมีความสำคัญทางการแพทย์ หรือมีความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง พฤติกรรมการปรับตัว และมีความอยากรู้เห็นในสิ่งรอบตัวในช่วงวัยเด็ก         
         F. ความผิดปกติไม่เข้ากับ พีดีดี ความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้านชนิดเฉพาะอื่น หรือโรคจิตเภท (Schizophrenia)



      สำหรับวันนี้ผู้เขียนคงต้องขอนำเสนอเรื่องแอสเพอร์เกอร์ไว้เพียง เท่านี้ และในคราวหน้าผู้เขียน จะนำเสนอในเรื่องของการให้ความช่วยเหลือ และวิธีการดูแลเด็กที่มีอาการของแอสเพอร์เกอร์ อย่างไรหวังว่า ทุกท่านคง เข้าใจเรื่องราวของแอสเพอร์เกอร์มากขึ้น และ คงรู้ว่าแอสเพอร์เกอร์แตกต่างกับออทิสติกอย่างไร ผู้เขียนเอง หวังว่าเมื่อเราเข้าใจถึงคนเหล่านี้เเล้ว เราจะให้โอกาส และให้ความรู้สึกที่ดีกับเขาเหล่านั้น ไม่แบ่งแยก และไม่มีอคติกับคนเหล่านั้น และควรให้โอกาสพวกเขาได้เรียนรู้ทักษะต่างๆทางสังคม ให้โอกาส มีความรู้สึกที่ดีกับพวกเขา เพราะพวกเขาก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ไม่แตกต่างจากเรา และเราก็ควรมีส่วนในการทำความเข้าใจ และให้ที่ยืนแก่พวกเขาด้วย เช่นกัน

     แล้วไว้พบกันในตอนต่อไป ขอขอบคุณครับ 

  

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

กลุ่มโครงสร้างของจิต (Structuralism)


(กลุ่มโครงสร้างของจิต ((Structuralism)

กลุ่มโครงสร้างทางจิต (Structuralism) หรือกลุ่มโครงสร้างนิยม ก่อตั้งโดยวิลเฮล์ม วุนต์ (Wilhelm Woundt,1832 - 1920)


                                                                              วิลเฮล์ม วุ้นต์ (Wilhelm Woundt,1832 - 1920)

กลุ่มนี้มุ่งศึกษาส่วนประกอบต่าง ๆ ซึ่งกลุ่มคิดว่าเป็นโครงสร้างของจิต  และสรุปสาระแนวคิดว่ามนุษย์มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยลักษณะที่เป็นหน่วยย่อยที่เรียกว่า ธาตุทางจิตซึ่งแยกเป็น
1. การสัมผัส  (Sensation) คือการทำงานของอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น และผิวหนัง โดยการตอบ สนองต่อสิ่งเร้านั้น ๆ เช่น ตามองเห็น จมูกได้กลิ่น ฯลฯ        
2. การรู้สึก  (Feeling) คือการตีความหรือแปลความหมายของการสัมผัส เช่น การมองเห็นสิ่งเร้า  ก็ตีความหมายว่า สวย ไม่สวย หูได้ยินก็ตีความหมายว่า ไพเราะ เป็นต้น
3. มโนภาพ  (Image) คือการคิดและการวิเคราะห์ ตลอดจนการจดจำประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับจากการสัมผัสและ รู้สึก

ทั้ง 3 อย่างนี้ประกอบเป็นพื้นฐานของจิตทำนองเดียวกับสารประกอบทางเคมี ซึ่งเกิดจากการรวมตัวเป็นสัดส่วน ของธาตุต่าง ๆกลุ่มแนวคิดโครงสร้างทางจิต ใช้วิธี การศึกษาด้วยการตรวจสอบตนเองหรือพินิจภายใน (Introspection)โดยให้เจ้าตัว บรรยายความรู้สึก หรือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจให้ทราบ เพราะตนเองย่อมเข้าใจความคิด ความรู้สึก การตัดสิน ใจของตนเองได้ดีกว่าผู้อื่น

วิลเฮล์ม วุ้นท์ (Wilhelm Wundt,1832-1920) นักจิตวิทยาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดา
ของจิตวิทยาแผนใหม่เชิงวิทยาศาสตร์ วูนท์ ศึกษาโครงสร้างของจิต (Structuralism)มีความเชื่อว่า จิตประกอบด้วยส่วนย่อย ๆ เหมือนกับสสาร ประกอบ ด้วยธาตุ ต่างๆ โครงสร้างของจิตมี 3 ส่วน ประกอบด้วยส่วนที่ 1 ความรู้สึก (Feeling)  ส่วนที่ 2 ประสาทสัมผัส (Sensation) และส่วนที่ 3 มโนภาพ (Image)
การศึกษาทดลองของวูนท์ใช้วิธีการสำรวจตัวเอง (Introspection) ใช้การทดลองโดยใช้
สิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้น เช่นไฟฟ้าสีระดับเสียงสูงและตํ่ากลิ่นอุณหภูมิความร้อนความหนาวเป็นต้น
ผู้ถูกทดลองจะเป็นผู้เล่ารายละเอียด ความรู้สึก ประสาท สัมผัส และมโนภาพ จากประสบการณ์
ที่ตนได้รับจากการทดลองว่าความรู้สึกอย่างไรเมื่อได้รับสิ่งเร้าต่างๆเป็นตัวกระตุ้นซึ่งต้องอาศัย
ประสบการณ์ ของแต่ละคน ที่มีอยู่เดิม


เนื้อหาหลัก
เป้าหมายการศึกษา
วิธีการค้นคว้า
ทัศนะต่อมนุษย์
สิ่งที่เน้น
ประสบการณ์จิตสำนึก
แยกดูเพื่อรู้จักธาตุจิต
ผัสสะ  ความรู้สึก และมโนภาพ
ตรวจสอบจิตใจตนเอง
Introspection
กลาง
บุคคล

WILHELM MAX WUNDT (..๑๘๓๒ - ๑๙๒๐) กลุ่มนี้ใช้วิธีการศึกษาแบบตรวจสอบจิตตนเอง (INTROSPECTION)  และการทดลองควบคู่กันโดยพิจารณาความรู้สึกหรือความคิดของตนเอง กลุ่มนี้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่จิตสำนึกของมนุษย์และเห็นว่าโครงสร้างของจิตนั้นประกอบด้วย MENTAL ELEMENT ๓ ชนิดคือ ความรู้สึก (FEELING) การสัมผัส (SENSATION) และมโนภาพ (IMAGE)  ทั้ง ๓ สิ่งนี้เมื่อรวมกันภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสมก็จะก่อให้เกิดรูปจิตผสมขึ้นเช่น ความคิด อารมณ์ ความจำ การหาเหตุผล ฯลฯ
แนวความคิดจิตวิทยากลุ่มต่าง ๆ ดังกล่าวต่างก็มีบทบาทในการศึกษาเพื่ออธิบายพฤติกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  แต่ลำพังวิชาจิตวิทยาอย่างเดียวมิได้ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ได้แจ่มแจ้งแต่เป็นเพียงพื้นฐานเป็นรากฐานในการศึกษาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง       แท้จริงแล้วปัจจุบันนี้การค้นคว้าศึกษาวิชาจิตวิทยาไม่อาจยึดปรัชญาแนวความคิดของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะได้ จำเป็นต้องนำแนวความคิดและวิธีการจากทุกกลุ่มหรือบางกลุ่มผสมผสานกัน อาจมากบ้างน้อยบ้างตามแต่พฤติการณ์และสถานการณ์จะอำนวย จะเห็นได้ว่ากลุ่มแนวความคิดทางจิตวิทยาบางกลุ่มมีความเชื่อความคิดเห็นขัดแย้งกันเอง   จึงเป็นการยากที่จะตัดสินใจรับเอาแนวความคิดของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะมาใช้ให้ได้ดีได้ HILGARD นักจิตวิทยาคนสำคัญกล่าวว่าอย่าไปพยายามค้นหาทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ถูกต้องที่สุดให้เสียเวลาเปล่า ๆ เพราะแม้จะใช้ความพยายามเท่าใดก็ไม่อาจหาพบได้ ในเมื่อแต่ละกลุ่มต่างยืนยันว่าความคิดของกลุ่มตนถูกต้อง วิธีการที่ดีและเหมาะสมที่สุดคือ ศึกษาแนวความคิดของทุกกลุ่มอย่างละเอียดลึกซึ้งแล้วเลือกเอามาแต่ส่วนที่เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่สุดภายใต้สถานการณ์ที่เราต้องเผชิญ
วิชาจิตวิทยานั้นมีสาขากว้างขวางมากเนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการมีมาเป็นลำดับ ทำให้ผู้ที่ศึกษาไปแล้วมีความสนใจความถนัดด้านใดมากก็จะค้นคว้าพัฒนาในเรื่องนั้น ๆ อย่างละเอียดทำให้เกิดวิชาจิตวิทยาสาขาใหม่ ๆ ขึ้นได้ วิทยาทั่วไป จิตวิทยาสรีรศาสตร์ (PHYSIOLOGICAL PSYCHOLOGY)  จิตวิทยาอปกติ (ABNORMAL PSYCHOLOGY) จิตวิทยาพัฒนาการ (DEVELOPMENTAL PSYCHOLOGY) ซึ่งแบ่งออกเป็นจิตวิทยาพันธุกรรม (GENETICS) จิตวิทยาเด็ก จิตวิทยาวัยรุ่น   ต่อมาก็มีจิตวิทยาเปรียบเทียบ จิตวิทยาการทดลอง จิตวิทยาธุรกิจ  จิตวิทยาการศึกษา  จิตวิทยาคลินิก  จิตวิทยาสังคม จิตวิทยาความมั่นคง   จิตวิทยาเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคล สำหรับทหารนั้นก็มีจิตวิทยาทหาร ซึ่งประเทศบางประเทศที่พัฒนาแล้วได้ให้ความสนใจมาโดยตลอด เช่นประเทศเยอรมันมีหน่วยจิตวิทยาทหารเรียกว่า   MILITARY PSYCHOLOGY อยู่ในกองทัพบกตั้งแต่ ค..๑๙๒๙ส่วนประเทศอังกฤษมีก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อยมีการจัดในระดับกรมในกองทัพบกอังกฤษเรียกว่า DIRECTORATE OF ARMY PSYCHIATRY สำหรับสหรัฐอเมริกาก็เช่นเดียวกับอังกฤษแต่มีกิจการใหญ่โตกว้างขวางกว่าอังกฤษและเยอรมันมากเรียกว่า MILITARY PSYCHIATRY  หน่วยงานจิตวิทยาทหารดังกล่าวทำหน้าที่แต่เริ่มเข้าร่วมในการคัดเลือกนายทหารสัญญาบัตร     และการตรวจคัดเลือกกำลังพลประเภทอื่น ๆ ตลอดจนรับปรึกษาตรวจและบำบัดรักษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคจิต ป้องกันและศึกษาหาสาเหตุตลอดจนวิธีการเกี่ยวกับขวัญของทหารเป็นต้น เพราะบุคคลที่มีอาชีพเป็นทหารไม่ว่าจะโดยถูกเกณฑ์หรืออาสาสมัครเข้ามาก็ตามแม้ในยามปกติงานก็มีลักษณะตรากตรำเหน็ดเหนื่อยต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละและต้องเผชิญหรือเสี่ยงอันตรายเสมออยู่แล้ว  สำหรับในเวลาสงครามนั้นความเสี่ยงก็อยู่ในขั้นวิกฤติเป็นหลายเท่าของเวลาปกติความบีบคั้นทางร่างกายแม้อาจจะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นแต่จิตใจที่ถูกบีบคั้นอาจทรุดโทรมลงจนทำให้เสียขวัญหรือเสียวินัยและมีอาการของโรคจิตปรากฏขึ้น วงการทหารมีความสนใจในเรื่องจิตใจของทหารและวิชาจิตวิทยาอย่างจริงจังตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นต้นมา ทั้งขยายขอบเขตกว้างขวางออกไปอย่างมากและรวดเร็ว   ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้มีการนำวิชาจิตวิทยามาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามที่เรียกว่า  “สงครามจิตวิทยานอกเหนือไปจากการใช้หลักวิชาจิตวิทยาในการฝึกอบรม ป้องกันทหารไม่ให้เป็นโรคจิตอันเนื่องจากความวิตกกังวลใจในระหว่างการฝึก การปฏิบัติงาน การรบ และการถูกกักขัง เมื่อถูกจับเป็นเชลยศึกหรือถูกทรมาน รวมทั้งการแก้ปัญหาอื่น ๆ อีกหลายประการ